จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า (Trademark) ต้องทำอย่างไร: เรื่องสำคัญที่คนทำธุรกิจควรรู้
ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เครื่องหมายการค้า (Trademark) กลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะเครื่องหมายการค้าช่วยสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าและบริการ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ในสายตาของผู้บริโภคอย่างมาก ดังนั้น การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอย่างถูกต้องตามกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม
เครื่องหมายการค้าคืออะไร?
เครื่องหมายการค้า (Trademark) คือ สัญลักษณ์ คำ ชื่อ รูปภาพ รูปประดิษฐ์ ตัวอักษร รวมถึง วัตถุ 3 มิติ และ เสียง ที่ใช้กับสินค้าและบริการเพื่อแสดงความแตกต่างจากสินค้าหรือบริการของผู้อื่นในท้องตลาด โดยในประเทศไทยการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เหตุใดจึงควรจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า?
แม้ว่าเครื่องหมายการค้าสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องจดทะเบียน แต่การจดทะเบียนมีข้อได้เปรียบหลายประการ เช่น:
- ได้รับสิทธิ์เฉพาะแต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายนั้นกับสินค้าหรือบริการที่ระบุ
- สามารถใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อดำเนินคดีกับผู้ละเมิดหรือผู้ลอกเลียนแบบ
- เพิ่มมูลค่าแบรนด์ (Goodwill)และสามารถโอนสิทธิ์หรือให้ใช้สิทธิในเชิงพาณิชย์ได้
- สนับสนุนกระบวนการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศ เช่นพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol)
ขั้นตอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย
- ค้นหาความเหมือนคล้ายของเครื่องหมายที่จดทะเบียนไว้ก่อนแล้ว (Trademark Search): เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องหมายของคุณซ้ำหรือใกล้เคียงกับที่จดทะเบียนไว้แล้วหรือไม่
- ยื่นคำขอ: ยื่นคำขอจดทะเบียนต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมระบุรายละเอียด เช่น รูป หรือ คำของเครื่องหมาย จำพวกของสินค้า/บริการ (ตามระบบ Nice Classification) รายการสินค้าที่ต้องการใช้เครื่องหมายการค้า
- การตรวจสอบ: เจ้าหน้าที่พิจารณาว่าเครื่องหมายเข้าข่ายที่จดทะเบียนได้หรือไม่ (เช่น ต้องมีลักษณะบ่งเฉพาะ ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี)
- ประกาศโฆษณา: หากผ่านการพิจารณา เครื่องหมายจะถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คัดค้านยื่นคำร้องภายใน 60 วัน
- การจดทะเบียน: หากไม่มีการคัดค้านหรือคัดค้านไม่สำเร็จ เครื่องหมายจะได้รับการจดทะเบียนและจะมีอายุคุ้มครอง 10 ปี นับจากวันยื่นคำขอ โดยสามารถต่ออายุได้ทุก ๆ 10 ปี
ข้อควรระวังและคำแนะนำ
- เครื่องหมายที่ ไม่สามารถจดทะเบียนได้ ได้แก่
- เครื่องหมายที่ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า 2537 เช่น คำหรือภาพทั่วไป คำหรือข้อความที่สื่อความหมายถึงลักษณะของสินค้าโดยตรง
- เครื่องหมายที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 8 เช่น ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ตราราชการ ธงชาติ ชื่อสถานที่ทางภูมิศาสตร์
- เครื่องหมายที่เหมือน หรือ คล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่บุคคลอื่นได้จดทะเบียนไว้ก่อนแล้ว
- ควรเตรียมหลักฐานการใช้เครื่องหมายในเชิงพาณิชย์อย่างเหมาะสม เช่น บรรจุภัณฑ์ โบรชัวร์ เว็บไซต์ เพื่อใช้ประกอบการขอจดทะเบียนหรือในกรณีเกิดข้อพิพาท
- หากมีแผน ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ควรวางกลยุทธ์การจดทะเบียนในประเทศนั้น ๆ พร้อมกับพิจารณาการใช้ระบบ Madrid Protocol เพื่อความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย
สรุป: การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องแบรนด์ของคุณในเชิงกฎหมาย และเพิ่มความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการวางแผนหรือดำเนินการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย สามารถติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญาของเราเพื่อขอคำปรึกษาได้เสมอ
🚀 ให้ WPK Notary ช่วยคุณTrademark
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า หรือกำลังสนใจจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เราพร้อมให้ให้บริการอย่างมืออาชีพ เพื่อรักษาสิทธิของคุณอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และ ช่วย Brand ของคุณได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่ ติดต่อเราได้ที่
📧Email:wpk.notary@gmail.com
📍Facebook:WPK Notary
📲 Line: @519clses