❤️ 1. การเลิกสัญญาโดยความตกลงของคู่สัญญา (ชัดแจ้งหรือโดยปริยาย)
การตกลงเลิกสัญญา คือ การที่คู่สัญญาเห็นพ้องกันภายหลังการทำสัญญาว่าจะยกเลิกข้อผูกพันเดิม ซึ่งหากมีการตกลงกันโดยชัดแจ้ง ก็ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลง โดยไม่ต้องนำมาตรา 391 เรื่องการกลับสู่ฐานะเดิมมาใช้ เว้นแต่จะไม่ได้กำหนดเงื่อนไขไว้
กรณีโดยปริยาย มักเกิดจากพฤติการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจว่าใครผิดสัญญา และต่างฝ่ายต่างเลิกปฏิบัติตามสัญญาอย่างสมัครใจ กรณีเช่นนี้ คู่สัญญาต้องคืนสิ่งที่ได้รับไปแก่กัน และไม่สามารถเรียกค่าเสียหายได้
ฎีกาที่ 17918/2557 เป็นกรณีศึกษาสำคัญ ซึ่งศาลเห็นว่าการที่ทั้งสองฝ่ายมีหนังสือเสนอและตอบรับการเลิกสัญญา และมีการส่งคืนพื้นที่โดยสมัครใจ เป็นการเลิกสัญญาโดยความตกลงของคู่สัญญา
“แม้ตามสัญญาไม่มีข้อกำหนดให้สิทธิ์โจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตการณ์ชมนมทางการเมืองก็ตาม แต่การที่โจทก์มีสิทธิ์มีหนังสือแจ้งจำเลยว่าเกิดสถานการณ์ชุมนุมทางการเมืองทำให้โจทกได้รับผลกระทบจากการปิดร้านขายอาหารโจทก์ จึงมีความประสงค์จะขอเลิกสัญญาตามหนังสือขอเลิกสัญญานั้น หนังสือดังกล่าวจึงเป็นคำเสนอขอเลิกสัญญา เมื่อจำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งเงื่อนไขการยกเลิกสัญญาว่าให้มีผลเป็นการยกเลิกการเช่าและโจทก์ต้องส่งมอบพื้นที่คืนภายในวันที่ 24 มิถุนายน 2553 ไม่ปรากฏว่าจำเลยถือเอาเหตุที่โจทก์ปฏิบัติไม่ถูกต้องเป็นข้อผิดสัญญา คงเป็นเพียงการตั้งข้อเสนอใหม่ใหม่ในการเลิกสัญญาเท่านั้น เมื่อโจทก์ส่งมอบพื้นที่เช่าคืนให้แก่จำเลยและจำเลยรับไว้โดยไม่อิดเอื้อน พฤติการณ์ถือได้ว่าโจทก์สนองรับข้อเสนอดังกล่าวของจำเลยแล้วสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยความตกลงของคู่สัญญาในวันที่ 24 มิถุนายน 25553 คู่สัญญาจึงต้องกลับสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามมาตรา 391”
🔖 2. การเลิกสัญญาตามข้อสัญญา
คู่สัญญาสามารถกำหนดในสัญญาให้มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เช่น หากลูกหนี้ผิดนัดชำระเงิน หรือมีเหตุสุดวิสัยตามที่ระบุไว้ในสัญญา
ข้อควรทราบ:
- หากเหตุที่ระบุไว้ในสัญญายังไม่เกิดขึ้น ผู้มีสิทธิก็ยังไม่สามารถบอกเลิกได้
- เมื่อเกิดเหตุแล้ว คู่สัญญาผู้มีสิทธิบอกเลิกต้องแสดงเจตนาเลิกสัญญา
- ไม่มีรูปแบบเฉพาะสำหรับการบอกเลิก อาจทำเป็นหนังสือ หรือด้วยวาจา
- หากแสดงเจตนาเลิกสัญญาแล้วโดยชอบ ย่อมเพิกถอนไม่ได้
ฎีกาที่ 390/2536 ระบุว่า แม้ลูกหนี้ผิดนัด แต่หากสัญญาไม่ระบุว่าเลิกกันโดยอัตโนมัติ การบอกเลิกต้องแสดงเจตนาโดยเจ้าหนี้
“เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ ภายในเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญา แต่เมื่อสัญญามิได้ระบุว่าหากจำเลยผิดนัดผิดสัญญา สัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันที ดังนี้ ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงยังมีผลผูกพันอยู่ และจำเลยย่อมมีสิทธิขอชำระหนี้ตามสัญญาได้ เมื่อกรณียังฟังไม่ได้ตามทางนำสืบว่าจำเลยขอปฏิบัติชำระหนี้ต่อโจทก์และฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา แต่เมื่อคดีกลับได้ความต่อมาว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้”
🔒 3. การเลิกสัญญาตามบทบัญญัติกฎหมาย (มาตรา 387 – 389)
✉️ มาตรา 387: การบอกเลิกสัญญาทั่วไป
เมื่ออีกฝ่ายไม่ชำระหนี้ โดยหนี้นั้นไม่ได้เป็นสาระสำคัญของเวลา ต้องแจ้งเตือนก่อนให้ชำระภายในระยะเวลาพอสมควร หากยังไม่ชำระจึงสามารถบอกเลิกได้ — อาจระบุในหนังสือฉบับเดียวกันว่า หากไม่ชำระภายใน xx วัน จะถือเป็นการเลิกสัญญา
⏰ มาตรา 388: เวลาชำระหนี้เป็นสาระสำคัญ
หากวัตถุประสงค์ของสัญญาจะบรรลุผลได้ก็ต่อเมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ให้ตรงตามเวลาที่กำหนด เช่น สัญญาซื้อตั๋วคอนเสิร์ตสำหรับวันแสดง หากส่งไม่ทันเวลา เจ้าหนี้บอกเลิกได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้งเตือน
❌ มาตรา 389: การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยโดยโทษลูกหนี้ได้
หากลูกหนี้กระทำการจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ เช่น โอนขายทรัพย์ให้ผู้อื่นก่อนกำหนดส่งมอบ ศาลฎีกา (ฎีกาที่ 6615/2553) วินิจฉัยว่า เจ้าหนี้มีสิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีและเรียกคืนสิ่งที่ชำระไปพร้อมดอกเบี้ย
ฎีกาที่ 6615/2553
“เมื่อสัญญายังไม่เลิกกันเพราะการบอกเลิกสัญญาของจำเลย คู่สัญญาจึงยังมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญา กล่าวคือ โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระราคาส่วนที่เหลือและจำเลยมีหน้าที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งสองห้องแก่โจทก์ แต่ได้ความตามคำให้การของจำเลยว่าจำเลยได้โอนขายห้องชุดทั้งสองห้องแก่บุคคลภายนอกไปแล้วก่อนโจทก์บอกเลิกสัญญา ดังนี้ การชำระหนี้ของจำเลยในการที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดแก่โจทก์จึงกลายเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอันเกิดจากการกระทำของจำเลยโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าจำเลยอาจซื้อห้องชุดคืนมาโอนให้โจทก์ได้หรือไม่ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 389 โดยหาจำต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ตามมาตรา 387 ก่อน การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงชอบแล้ว เมื่อสัญญาเลิกกันเพราะโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญา คู่สัญญาจำต้องให้อีกฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม กล่าวคือ จำเลยจำต้องคืนราคาห้องชุดที่โจทก์ชำระแล้วแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เวลาที่จำเลยได้รับไว้ ทั้งนี้ตามมาตรา 391 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ประกอบมาตรา 7”
📊 ตารางเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่าย
ประเภทการเลิกสัญญา | ลักษณะ | ต้องแจ้งล่วงหน้า? | คืนสิ่งที่ได้? | เรียกค่าเสียหายได้? |
โดยตกลง | ชัดแจ้งหรือโดยปริยาย | ❌ ไม่ต้อง | ✅ ได้ ถ้าไม่ได้ตกลงไว้ | ❌ ไม่ได้ ถ้าไม่ตกลงไว้ |
โดยข้อสัญญา | เป็นไปตามข้อตกลง | ❌ ไม่ต้อง (ถ้าเกิดเหตุ) | ✅ แล้วแต่ตกลง | ✅ ได้ หากมีสิทธิในสัญญา |
มาตรา 387 | หนี้ทั่วไป | ✅ ต้องแจ้งก่อน | ✅ ได้ | ✅ ได้ |
มาตรา 388 | เวลาสำคัญ | ❌ ไม่ต้อง | ✅ ได้ | ✅ ได้ |
มาตรา 389 | พ้นวิสัยเพราะลูกหนี้ | ❌ ไม่ต้อง | ✅ ได้ | ✅ ได้ |
🚀 ให้ WPK Notary เป็นผู้ช่วยคุณ
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสัญญา หรือกำลังเผชิญปัญหาจากอีกฝ่ายผิดสัญญา เราพร้อมให้คำแนะนำด้านกฎหมายอย่างมืออาชีพ — เพื่อรักษาสิทธิของคุณอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
📧 Email: wpk.notary@gmail.com
📍 Facebook: WPK Notary
📲 Line: @519clses