You are using an outdated browser. For a faster, safer browsing experience, upgrade for free today.

การรับรองหนังสือมอบอำนาจที่ทำในต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ในประเทศไทย: วิเคราะห์จากคำพิพากษาฎีกา

การรับรองหนังสือมอบอำนาจที่ทำในต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ในประเทศไทย: วิเคราะห์จากคำพิพากษาฎีกา

ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ การทำธุรกรรมและการดำเนินคดีข้ามชาติกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การจัดทำเอกสารทางกฎหมาย เช่น หนังสือมอบอำนาจในต่างประเทศจึงมีความจำเป็น และเอกสารดังกล่าวมักต้องนำมาใช้ในกระบวนการยุติธรรมไทย แต่การที่เอกสารจะมีผลใช้บังคับได้ในประเทศไทย จำเป็นต้องมีการ ตรวจสอบความถูกต้องและรับรองตามหลักกฎหมายไทย เพื่อให้ศาลรับฟังได้เป็นพยานหลักฐาน คำพิพากษาศาลฎีกาหลายคดีได้ให้แนวทางที่เป็นประโยชน์ในการตีความเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 68 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ก่อนจะพิจารณาคำพิพากษา ควรพิจารณาบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการมอบอำนาจในต่างประเทศ ได้แก่:

มาตรา 68
การมอบอำนาจให้ฟ้องหรือดำเนินกระบวนพิจารณาแทนผู้มอบนั้น ให้ทำเป็นหนังสือ และผู้มอบต้องลงลายมือชื่อ
ถ้าทำในต่างประเทศ ต้องมีเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นนั้น หรือเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไทยในประเทศนั้นรับรองว่า ผู้มอบได้ลงลายมือชื่อในหนังสือนั้นจริง

ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่า หนังสือมอบอำนาจที่นำมาแสดงมิใช่หนังสือที่ทำขึ้นโดยชอบ หรือผู้มอบไม่มีเจตนาให้มอบอำนาจ ศาลจะสั่งให้มีการสอบสวนก็ได้

บทบัญญัตินี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ “การรับรองจากเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ” โดยเฉพาะในกรณีที่ทำในต่างประเทศ เพื่อให้เอกสารมีความน่าเชื่อถือในกระบวนพิจารณาคดีไทย

 

หลักเกณฑ์จากคำพิพากษาฎีกาที่ 1720/2532

ในคดีนี้ โจทก์ได้นำหนังสือมอบอำนาจที่จัดทำในต่างประเทศมาใช้ในการดำเนินคดี โดยเอกสารได้รับการรับรองจาก โนตารีพับลิก และต่อด้วย ผู้ช่วยกงสุลไทย ณ เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐอลาบามาศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า:

"หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวถือว่าถูกต้องตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา และไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร จึงถือเป็นหนังสือมอบอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย"

แนววินิจฉัยนี้สะท้อนเจตนารมณ์ของมาตรา 68 อย่างชัดเจนว่า เอกสารที่ทำในต่างประเทศจะมีผลใช้ได้ในไทย หากมีการรับรองจากเจ้าหน้าที่ไทยผู้มีอำนาจในท้องถิ่นนั้น

 

แนวทางเพิ่มเติมจากคำพิพากษาฎีกาที่ 7378/2538

คำพิพากษานี้แสดงให้เห็นการปฏิบัติตามขั้นตอนการรับรองที่ถูกต้องและครบถ้วน:

  • มีหนังสือมอบอำนาจที่รับรองโดยโนตารีพับลิก เสมียนศาล และกงสุลไทย
  • ศาลเห็นว่าเป็นการรับรองต่อเนื่องตามลำดับชั้น
  • แม้ในส่วนที่เป็น “หนังสือรับรองความเป็นนิติบุคคล” ซึ่งไม่มีกงสุลไทยรับรองโดยตรง ศาลก็รับฟังได้ หากมีพยานหลักฐานสนับสนุนอย่างเพียงพอ

 

ข้อวิเคราะห์

จากคำพิพากษาทั้งสองฉบับ ประกอบกับมาตรา 68 สามารถสรุปหลักเกณฑ์สำคัญได้ว่า:

  1. หนังสือมอบอำนาจที่จัดทำในต่างประเทศต้องทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อโดยผู้มอบ
  2. ต้องได้รับการรับรองจาก:
    • เจ้าหน้าที่ในประเทศนั้นที่มีอำนาจ เช่น โนตารีพับลิก
    • เจ้าหน้าที่ไทยในต่างประเทศ เช่น กงสุลไทย
  3. ศาลมีอำนาจพิจารณาและสอบสวน หากมีข้อสงสัยว่าเอกสารไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่มีเจตนาให้มอบอำนาจจริง

 

สรุป

คำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองฉบับนี้ประกอบกับมาตรา 68 เป็นแนวทางสำคัญในการวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของเอกสารที่จัดทำในต่างประเทศ การปฏิบัติตามขั้นตอนการรับรองอย่างครบถ้วนไม่เพียงแต่เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เอกสารสามารถรับฟังในศาลไทยได้อย่างมีน้ำหนักอีกด้วย

 

หากไม่แน่ใจว่าเอกสารของท่านสามารถใช้ได้ในศาลไทยหรือไม่ สามารถส่งมาให้เราช่วยตรวจสอบได้นะคะ ทาง WPK เรามีทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศคอยแนะนำให้อย่างรวดเร็วและราคาไม่แพงค่ะ